นวรัต ไกรฤกษ์ : หมอนพพร..บุรุษผู้พาคนไทยถึงจุดสุดยอด!

<< แชร์บทความนี้

“คุณอาหมอคะ..หนูจูบกับผู้ชายคนหนึ่ง หนูอยากรู้ว่า..หนูจะท้องไหมคะ?”

เห็นคำถามแบบนี้..หลายคนคงหัวเราะกลิ้งถึงความไร้เดียงสาของน้องหนู

แต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ในยุคที่เรื่องเพศเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นเรื่องบัดสีบัดเถลิง จึงไม่แปลกที่ใครๆ ก็ไม่รู้

กระทั่งชายคนหนึ่งหาญกล้าลุกขึ้นมาท้าทายและทลายกำแพงเรื่องเพศศึกษาในสังคมไทย ด้วยการให้ความรู้เรื่องบนเตียงตรงไปตรงมา ถามมาตอบไปชัดเจนทุกแง่มุม

ยอดมนุษย์..คนธรรมดา ขอพาทุกท่านย้อนกลับไปรู้จักกับ นพ.นวรัต ไกรฤกษ์ ผู้สร้างตำนาน ‘นพ.นพพร’ แห่งคอลัมน์ เสพสม บ่มิสม ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์อันลือลั่น

เพศศึกษาเป็นเรื่องธรรมชาติ

จดหมายนับพันถูกคัดแยกเป็นหมวดหมู่ ภาพอีโรติกของขวัญจากคนไข้ประดับอยู่ข้างฝา โคมไฟสีขาวอยู่ที่มุมโต๊ะทำงาน

นี่คือบรรยากาศออฟฟิศของหมอนพพร ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่พาคนไทยถึงจุดสุดยอด (ทางอารมณ์) เมื่อ 30 ปีก่อน

เขาคนนี้เองที่เป็นผู้พลิกความรู้เรื่องเพศศึกษาในสังคมไทย จากระดับแบเบาะให้เป็นสังคมอุดมปัญญา ที่พร้อมเรียนรู้หนทางสู่การร่วมรักที่เสพสมอารมณ์หมายอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ

จดหมายที่มาหาคุณหมอมีตั้งแต่ขอคำแนะนำเกี่ยวกับอวัยวะเพศ เพศสัมพันธ์ เทคนิคลีลา จนถึงปรึกษาปัญหาชีวิต โดยแฟนๆ นี้มีตั้งแต่รุ่นเด็กจนถึงรุ่นเดอะ ผู้ชายอายุ 90 กว่า ผู้หญิงเกือบ 70 ก็ยังส่งจดหมายมาขอคำปรึกษา

แต่ส่วนใหญ่แล้วคุณหมอมักหยิบเรื่องที่ดูโป๊ๆ หน่อย มาตอบก่อน (แต่ก็ต้องเป็นโป๊ที่ได้ประโยชน์กับคนอื่น) แถมลีลาการตอบ บอกได้คำเดียวว่าไม่ธรรมดา เพราะเต็มไปด้วยศัพท์แสงต่างๆ ช่วยทำให้ภาพชัดเจน

อย่างคำว่า ล่มปากอ่าว สำเร็จความใคร่ จุดสุดยอด นกเขาไม่ขัน คุณหมอนี่เองที่มีส่วนเผยแพร่ให้กระจายไปทั่วประเทศ (บางคำคุณหมอเป็นคนคิดขึ้นมาเองด้วยซ้ำ) และหากเรื่องไหนสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาศีลธรรม คุณหมอก็จะมีคำเตือน เพื่อให้ทุกคนได้ดำเนินชีวิตอย่างถูกทาง

“เราตอบตรงตามหลักวิชาการ ถามมายังไงก็ตอบอย่างนั้น ที่เจอบ่อยสุด ถ้าเป็นผู้ชายก็มีสองอย่าง หนึ่งคือหลั่งเร็ว สองอวัยวะไม่แข็งตัว พวกถามถึงขนาดเล็ก-ใหญ่ก็เจอประจำ ถ้าผู้หญิงก็เรื่องการไม่ถึงจุดสุดยอด รองลงมาก็พวกหล่อลื่นมากทำยังไงให้น้อยลง หล่อลื่นน้อยมันเจ็บมีวิธีแก้ได้ไง ยี่สิบปีนี้ก็วนเวียนอยู่แค่นี้ ทุกคนทุกคู่กี่ร้อยปีก็ต้องแบบนี้

“เด็กผู้หญิงบางคนไร้เดียงสามาก ประเภทถูกจูบแล้วจะท้องไหมก็มีมาก ผมก็ตอบตรงๆ ว่าไม่ท้อง เพราะการท้องต้องมีการร่วมเพศ แต่จะสอนเพิ่มเติมว่า เด็กสาวควรดูแลตัวเองอย่างไร ไม่ใช่ตอบว่าไม่ท้องแล้วจบแค่นั้น เพราะการตอบปัญหาทุกอย่างต้องเอาศีลธรรมเข้ามาตั้งเป็นหลักไว้”

ด้วยการเป็นพื้นที่ช่วยเยียวยาปัญหาหนักอกที่หลายคนไม่กล้าบอกใคร เสพสม บ่มิสมจึงกลายเป็นคอลัมน์ยอดฮิตที่ครองใจผู้คนมานานหลายสิบปี แม้คนส่วนใหญ่จะไม่เคยรู้จักตัวจริงของ นพ.นพพร เลยก็ตาม

เรื่องเพศไม่น่าอาย

แม้เรื่องเพศสัมพันธ์จะเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่ถ้าย้อนกลับไปสมัยเมื่อหลายสิบปีก่อน คนไทยมักชอบมองว่านี่เป็นเรื่องลามกอนาจาร เป็นเรื่องสกปรกที่ต้องถูกซุกไว้ใต้พรมเสมอ

แม้แต่คนเรียนแพทย์มาโดยตรงอย่างคุณหมอนวรัตก็ไม่เคยได้ศึกษาแบบจริงๆ จังๆ สักเท่าใด เนื้อหาที่เรียนส่วนใหญ่ก็มีแต่กายวิภาค สรีรวิทยา การทำงานของอวัยวะต่างๆ ส่วนที่เกี่ยวกับเพศก็จะเป็นสูตินรี การคลอดบุตร

แต่เพราะคุณหมอเห็นว่านี่เป็นประเด็นสำคัญที่มนุษย์ทั่วโลกศึกษามากว่า 100 ปี หากคนไทยไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยอาจสร้างผลเสียทั้งด้านสุขภาพ อารมณ์ หรือความสุขในครอบครัว จึงเริ่มศึกษาจากตำราต่างประเทศอย่างจริงจัง แล้วนำความรู้มาเผยแพร่สู่สาธารณชน

“สมัยก่อนหมอส่วนใหญ่รับราชการหากมาทำงานด้านเพศศึกษาก็กลัวเสียชื่อ..แต่ผมไม่อาย เพราะผมมีความสนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะวิชาโรคผิวหนังกับกามโรคนั้นต้องเกี่ยวข้องกับด้านเพศสัมพันธ์ด้วยเหมือนกัน”

งานเขียนยุคแรกๆ ของคุณหมออยู่ในนิตยสาร ‘รวมจักรวาลรายสัปดาห์’ โดยคนที่ชักชวนเข้าวงการคือ นักเขียนดังแห่งยุค ‘พนมเทียน’ เจ้าของผลงานระดับตำนาน ‘เพชรพระอุมา’ ซึ่งสมัยนั้นเป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการของหนังสือเล่มนี้

ส่วนนามปากกา นพ.นพพรนี้ คุณหมอบอกว่า “ขอยืมมาจากหลานชายคนหนึ่งที่รักเสมือนลูก”

คอลัมน์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่คุณหมอเขียน แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ส่วนแรกคือภาคความรู้ที่คุณหมอแปลและเรียบเรียงจากหนังสือต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มากเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ อีกส่วนคือ คอลัมน์ตอบจดหมาย ซึ่งคำถามที่เข้ามาเกือบทั้งหมดมักเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ โดยแต่ละสัปดาห์คุณหมอจะตอบตั้งแต่ 1-3 ฉบับ

แต่อย่างว่า ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในมุมมืดของสังคมมานาน ช่วงที่เขียนก็เลยถูกต่อต้านอย่างหนัก บางคนถึงขั้นด่าทอว่าเหตุใดจึงเอาเรื่องประเภทนี้มาขึ้นหน้ากระดาษนิตยสาร แต่ถึงจะถูกโจมตีหนักเพียงใด คุณหมอก็ยังเชื่อว่า สิ่งที่ทำอยู่มีประโยชน์ จึงไม่หวั่นต่อข้อครหาใดๆ ทั้งสิ้น

“พวกผู้ใหญ่หัวโบราณ..ก็กลัวเด็กจะใจแตกหรือกลัวจะเป็นดาบสองคมไปลองกันบ้างในเมื่อมีความรู้..แต่หนักๆ เข้าระยะหลังนี้ ส่วนใหญ่ยอมรับความจริงในเรื่องเพศตามธรรมชาติ เพราะขณะที่เขากลัวว่าเด็กวัยรุ่นจะเสียเพราะการอ่าน แต่ความจริงวิวัฒนาการสมัยใหม่ที่เข้ามา ทั้งวิดีโอ ทีวี คอฟฟี่ช็อป ดิสโก้เธค เด็กวัยรุ่นจะเสียกันเพราะสิ่งเหล่านี้มากกว่าจะมาเสียเพราะการอ่านตอบปัญหาทางเพศ”

คุณหมอเขียนอยู่ในรวมจักรวาลรายสัปดาห์อยู่พักใหญ่กระทั่งพนมเทียนลาออก ก็เลยหยุดเขียนด้วย ระหว่างนั้นก็ไปร่วมกับกลุ่มเพื่อนหมอ ทำวารสาร ‘เพศศึกษาและปรัญชา’ แต่ค่อนข้างอยู่ในวงจำกัด เพราะไม่ได้วางขายตามท้องตลาด

คุณหมอลงทุนอยู่ 4 ปีเต็ม วารสารเฉพาะทางก็ถึงคราวปิดตัวลง กระทั่ง 2 ปีต่อมา นายห้างแสง เหตระกูลจึงชักชวนให้เขียนคอลัมน์ตอบปัญหาเรื่องเพศในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดยมีพนมเทียนเจ้าเก่าเป็นผู้ติดต่อประสานงาน นับเป็นการเปิดศักราชให้แก่คอลัมน์ ‘เสพสม บ่มิสม’ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2521 หรือเมื่อ 40 ปีที่แล้ว

ด้วยความที่เดลินิวส์ยุคนั้นเป็นหนังสือพิมพ์ขายดีอันดับ 2 ของประเทศ ส่งผลให้ เสพสม บ่มิสมกลายเป็นพื้นที่สำคัญในการเปิดโลกทัศน์เรื่องเพศให้แก่คนไทย อย่างการทำออรัลเซ็กซ์ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้มารู้ที่นี่

นอกจากนี้คุณหมอยังใช้คอลัมน์เป็นตัวช่วยเผยแพร่วิทยากรใหม่ๆ (ในสมัยนั้น) เช่น ถุงยางอนามัยที่มีสรรพคุณในการป้องกันเอดส์ และการตั้งครรภ์ได้กว่า 90% หรือแม้แต่การบำบัดอารมณ์ใคร่ด้วยตัวเองอย่างถูกวิธี

ผลจากการเปิดคอลัมน์เสพสม บ่มิสม ไม่เพียงทำให้เพศศึกษากลายเป็นประเด็นสาธารณะ ยังทำให้หนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายเล่มเริ่มมีคอลัมน์ประเภทนี้ อย่างตัวคุณหมอเองนอกจากเดลินิวส์แล้ว ก็ยังเขียนผลงานและตอบปัญหาลงนิตยสารจักรวาลปืน ซึ่งเน้นกลุ่มชายฉกรรจ์, นิตยสารสาวสวยเน้นกลุ่มผู้หญิง, นิตยสารดาราภาพยนตร์เน้นกลุ่มวัยรุ่น, นิตยสารชีวิตจริงเน้นเรื่องปัญหาชีวิต รวมถึงนิตยสารแม่และเด็ก

“เรื่องโป๊หนักๆ นี่เอาลงนิตยสารจักรวาลปืนเพราะไม่อยากเอาลงหนังสืออื่น แต่ไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้นที่เขียนโป๊ บางทีผู้หญิงก็เขียนละเอียดกว่าผู้ชาย บางฉบับเล่ามาโอ้โฮ อ่านแล้วก็เกิดอารมณ์เหมือนกัน..แต่ว่าการตอบของหมอเป็นทางวิชาการ ให้ความรู้ที่ถูกต้อง”

พลิกความเชื่อเดิมๆ

นอกจากงานเขียนแล้ว อีกงานที่คุณหมอทำประจำตั้งแต่หลังเกษียณอายุจากเก้าอี้ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลโรงงานยาสูบ เมื่อปี 2519 คือการเปิดคลินิกรับรักษาโรคผิวหนังและกามโรค รวมทั้งรับปรึกษาปัญหาชีวิตครอบครัวและเพศศึกษา ที่ซอยสุขุมวิท 51 หรือซอยช่องลม

แต่ละวันจะมีคนไข้หลากหลายวัย และหลากหลายปัญหา แวะเวียนมาหาคุณหมออย่างสม่ำเสมอ อย่างกามโรคช่วงแรกๆ มีเยอะมาก กระทั่งพักหลังที่กระแสเอดส์ระบาด ผู้ชายสมัยนั้นก็เลยแขยงไม่กล้าเที่ยว แล้วยังมีพวกที่ตามมาจากหนังสือพิมพ์ เพื่อขอคำแนะนำวิธีคลายความใคร่อีก ซึ่งบางครั้งคุณหมอก็จะแนะนำให้ลองใช้ Sex Aids หรือเครื่องช่วยให้มีความสุขทางเพศ

ไม่เพียงเท่านั้น คุณหมอยังมีบทบาทในการเปลี่ยนความเชื่อผิดๆ ของสังคมผ่านการให้คำปรึกษา อย่างเรื่องเกย์หรือเลสเบี้ยนที่สมัยก่อนคนชอบเชื่อว่าเป็นอาการป่วย ต้องกินยาถึงจะหาย

“ผู้ชายหรือผู้หญิงพวกนี้มีความสับสนในจิตใจ ใจหนึ่งรักเพศเดียวกัน มีอารมณ์กับเพศเดียวกัน แต่อีกใจหนึ่งอยากแต่งงานกับเพศตรงข้าม เกย์ก็อยากจะมีเมียเป็นผู้หญิง เลสเบี้ยนก็อยากแต่งงานกับผู้ชาย ก็เข้ามาหาหมอว่ามีทางรักษาให้เขาหายไหมจะได้แต่งงานมีครอบครัวอย่างคนอื่น

“แต่พวกนี้ไม่มีทางหาย..นอกจากพวกที่แต่งงานออกสังคมได้ก็เป็นไบเซ็กชวล มีเซ็กซ์กับผู้ชายก็ได้ผู้หญิงก็ได้ แต่ผลสุดท้ายเมื่อไหร่อารมณ์ที่มีต่อเพศเดียวกันสูงกว่าที่มีกับเพศตรงข้ามก็ต้องลงเอยด้วยการหย่าร้าง.. บางรายถึงกับเอาเพื่อนผู้ชายมานอนที่บ้านแล้วไม่นอนกับภรรยา เขาก็ทนไม่ได้ อย่างนี้เจอแยะ.. ซึ่งการเปิดเผยนี่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น ไม่ต้องคิดปิดบังใคร ไม่เครียด” คุณหมออธิบายโดยอิงจากสถานการณ์เมื่อปี 2533

ไม่เพียงความรู้เรื่องเพศศึกษาเท่านั้นที่คุณหมอต้องรับมือ พวกเรื่องทั่วๆ ไปคุณหมอก็พร้อมรับฟัง ตั้งแต่เรื่องสามีแอบมีเมียน้อย เรื่องค่าครองชีพ เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องพ่อแม่ญาติพี่น้อง พวกนี้คุณหมอพร้อมให้คำปรึกษาหมดเพราะถือว่าสัมพันธ์กับการครองเรือน และการอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

“สำหรับหมอแล้วความรักสำคัญ ความรักความเอาใจ ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจกัน อันนี้เป็นพื้นฐานของชีวิต ส่วนไอ้เรื่องเพศสัมพันธ์นั้นเป็นส่วนประกอบ บางทีมันไม่ทำให้ผู้หญิงเขาถึงจุดสุดยอด แต่เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะเขามีความอบอุ่นใจในความรัก สิ่งนี้สำคัญอยากให้ทุกคนเข้าใจ เพราะบางคนไม่รู้เรื่องก็มุ่งอย่างเดียที่เซ็กซ์”

ผมมีเจตนาอย่างเดียวที่จะให้ความรู้เรื่องเพศแก่ประชาชน มิได้มีจิตอกุศลในทางจะทำให้เกิดการผิดศีลธรรมและประเพณีอันดีงามของไทยเราเลย

นวรัต ไกรฤกษ์ : หมอนพพร..บุรุษผู้พาคนไทยถึงจุดสุดยอด!

หมอนพพร Forever

คุณหมอนวรัตใช้เวลาในฐานะหมอนพพรมานานเกือบ 30 ปี จนกระทั่งอายุใกล้เข้าเลข 8 ก็ยังคงคอยตอบคำถามของแฟนๆ ผู้ช่างสงสัยไม่มีเว้น คุณหมอเคยบอกว่า ปัญหาเรื่องเพศไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็คือสุขภาพของคุณหมอที่เริ่มไม่อำนวย เพราะช่วงหลังๆ ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ จึงเริ่มทยอยวางมือทีละอย่างสองอย่าง อย่างคอลัมน์ตอบจดหมายในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คุณหมอมีผู้ช่วยเป็น ดร. ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รู้จักกันมานาน แถมสนใจปัญหาทางเพศอีกต่างหาก ก็เลยมาช่วยตอบปัญหาในชื่อหมอนพพร โดยมี นพ.นพพรตัวจริงคอยประกบและตรวจแก้ต้นฉบับจนถูกต้องก่อนจะปล่อยออกไป

“หมอเองอ่านไม่ไหว เขียนไม่ไหว ก็เลยให้เขาตอบในความควบคุมของเรา แต่ว่าเดลินิวส์เขาไม่ทราบ เพราะเขาจะให้คอลัมน์หมอไปให้คนอื่นตอบได้ไงละ แต่ก็มีคนถามเหมือนกันว่า ทำไมเดี๋ยวนี้หมอนพพร ตอบห้วนๆ ไปหน่อย”

หลังปี 2538 คุณหมอจึงวางมืออย่างเป็นทางการ และส่งต่อคอลัมน์เสพสม บ่มิสมแก่ ดร.โอ หรือ นพ.ออมสิน บูลภักดิ์ รวมถึงคลินิกที่ซอยสุขุมวิท 51 ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อจากคลินิกหมอนพพรเป็นคลินิกครอบครัว ดร.โอ แทน

คุณหมอใช้ชีวิตบั้นปลายกับครอบครัวอย่างสงบสุข จนถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2555 ด้วยวัย 95 ปี

แต่ถึงจะจากไปแล้วก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่คุณหมอทำนั้นได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ให้กลายเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เหมือนครั้งหนึ่งที่คุณหมอเคยเปิดใจผ่านคอลัมน์ของตัวเอง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2522

“..แม้แต่การตอบปัญหาเพศ ซึ่งผมได้กระทำอยู่ ก็อาจมีส่วนช่วยเร่งให้เกิดอารมณ์ต้องการทางเพศมากขึ้นได้ ทั้งๆ ที่ผมตอบในทำนองวิชาการเป็นส่วนใหญ่ ในระยะ 10 กว่าปี ที่ผมให้วิทยาทานทางเพศแก่ประชาชน ผมกล้าบอกได้เลยว่า ผมได้ทำให้เกิดประโยชน์ เป็นความรู้ในด้านนี้แก่ประชาชนมากกว่าเสียประโยชน์..

“..เพราะแม้ผมจะไม่ตอบปัญหาข้องใจ เด็กหนุ่มเด็กสาวซึ่งไร้เดียงสากันเป็นส่วนมากในเรื่องนี้ (แม้แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็ยังเข้าใจอะไรผิดๆ กันมากในเรื่องเพศ) ก็ย่อมเสาะแสวงหาความรู้กันเอาเองอย่างลับๆ ผลคือความผิดพลาดและเสียหายในชีวิต ฉะนั้นผมจึงขอให้ผู้ปกครองทุกท่านได้ยอมรับความจริงในเรื่องนี้กันเสียที อย่าเห็นเป็นเรื่องลามกอนาจาร ผิดศีลธรรม ประเพณีอะไรไปเลย..

“..ถ้าไม่มีแพทย์คนไหนกล้าเสี่ยงให้ความรู้แก่ประชาชนในวิชาการแขนงนี้ (ซึ่งวงการแพทย์ทั่วโลกกำลังศึกษาค้นคว้าและวิจัยกันอย่างจริงจัง เพียงในระยะ 20 ปีมานี้เอง เพราะถูกกดมาเสียนานจากศาสนา, ศีลธรรม และประเพณี จนจิตใจเด็กๆ ที่เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว และแต่งงานกันไปแล้ว คิดผิด, เชื่อผิด จากการห้ามผิดๆ สมัยโบราณจนเป็นเหตุให้เกิดการล้มเหลวในชีวิตสมรสกันมากมาย) ผมก็เห็นว่าวิชาการแพทย์ของเรายังล้าหลังอยู่มากในแขนงเพศวิทยานี้..

“..ผมจำเป็นต้องย้ำด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ผมมีเจตนาอย่างเดียวที่จะให้ความรู้เรื่องเพศแก่ประชาชน มิได้มีจิตอกุศลในทางจะทำให้เกิดการผิดศีลธรรมและประเพณีอันดีงามของไทยเราเลยแม้แต่น้อย ทัศนคติอันนี้ของผม ถ้าไม่ตรงกับทัศนคติของท่านผู้ใด ผมก็ขออภัยด้วย และผมกล้ายืนยันได้ว่า ถ้ามีการโหวตออกเสียงกันทั่วประเทศ เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของพลเมืองที่ผ่านวัยรุ่นไปแล้ว จะโหวตเห็นด้วยกับความคิดเห็น และการให้ความรู้ของผมแก่เขาอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน..”

ภาพและข้อมูลประกอบการเขียน

  • นิตยสารผู้หญิง ปีที่ 7 ฉบับที่ 116 ปักษ์แรก เดือนมิถุนายน 2533
  • นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ ปี 3 ฉบับที่ 127 วันที่ 11-17 พฤศจิกายน 2537
  • นิตยสารลลนา ฉบับที่ 396 เดือนมิถุนายน 2532
  • วิทยานิพนธ์เสพสม บ่มิสม: ภาพตัวแทนความสุขทางเพศไทย พ.ศ. 2521-2540 โดย ณภัค เสรีรักษ์

<< แชร์บทความนี้

RELATED POSTS
LATEST

Keep In Touch

COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO.  ALL RIGHTS RESERVED.