สรรพสิริ วิรยศิริ : นักข่าวทีวีคนแรก ผู้ฉายภาพ ‘6 ตุลาคม 2519’

<< แชร์บทความนี้

หากไม่มีชายที่ชื่อ สรรพสิริ วิรยศิริ บางทีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อาจเป็นเพียงแค่ภาพเลือนรางที่รับรู้กันเฉพาะคนไม่กี่คน

แต่ด้วยจิตวิญญาณของนักข่าวทีวีคนแรกของเมืองไทย ทำให้อดีตนายใหญ่แห่งช่อง 9 ตัดสินใจนำเรื่องนี้เสนอสู่หน้าจอ แม้รู้ดีว่าสิ่งที่ต้องเผชิญต่อจากนั้นคืออะไร

เพราะสิ่งที่สรรพสิริให้ความสำคัญ ไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง หรือเกียรติยศ แต่คือการรักษาจุดยืนของการเป็นหมาเฝ้าบ้าน ดังประโยคที่เขามักนิยามตัวเอง

‘ผมเป็นคนข่าวคนหนึ่ง..ก็แค่นั้น’

ท่ามกลางกระแสที่สังคมตั้งคำถามถึงบทบาทของสื่อมวลชนไทย ยอดมนุษย์..คนธรรมดา อยากพาทุกท่านไปเรียนรู้ถึงชีวิตของตำนานคนข่าว ผู้บุกเบิกวงการโทรทัศน์ผู้นี้

คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย

ครั้งหนึ่ง ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา บรรณาธิการสำนักพิมพ์ Openbooks เคยเขียนข้อความว่า

“ถ้าจะมีใครสักคนที่เหมาะจะได้รับการนำภาพมาขึ้นปกและโปรยปกด้วยคำว่า ‘คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย’ ..คนผู้นั้นเห็นจะหนีไม่พ้นคุณสรรพสิริ วิรยศิริ”

เพราะตลอดชีวิตการทำงาน เขาผู้นี้ไม่เคยจำนนต่อเรื่องไม่ถูกต้อง ต่อสู้กับผู้มีอิทธิพลที่พยายามใช้อำนาจแทรกแซงทุกวิถีทาง บิดเบือนการนำเสนอข่าวสาร

ในมุมของสรรพสิริ ข่าวคือหัวใจและศักดิ์ศรีของคนทำสื่อ ประชาชนจึงมีสิทธิรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในสังคม

ไม่แปลกเลยว่าเหตุใดช่อง 9 ซึ่งเขาเป็นกรรมการผู้จัดการอยู่ จึงเป็นสถานีโทรทัศน์เพียงช่องเดียวกล้ารายงานข่าว 6 ตุลาคม 2519

ความจริงแล้วก่อนเกิดเหตุการณ์นี้ สังคมไทยขัดแย้งรุนแรงเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง มีการปะทะตามแนวชายแดนมาตลอด สรรพสิริติดตามทำข่าวมาอย่างต่อเนื่องกว่าสิบปี

เมื่อเข้ามาเป็นผู้บริหารสูงสุดของช่อง 9 เขาปฏิวัติการทำข่าวหลายอย่าง ใช้วิทยุสื่อสาร รายงานจากจุดเกิดเหตุได้ทันทีเพื่อข่าวที่รวดเร็ว หรือบางครั้งในพื้นที่ที่นักข่าวไม่กล้าไป เขาก็ลงไปทำข่าวเองโดยไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ

ปัญหาคือ คนไทยหลายคนนิยมเสพข่าวตามรสนิยม

หากสัมภาษณ์คนที่ไม่ถูกใจก็มักถูกมองว่าเข้าข้างอีกฝ่าย เช่น ครั้งหนึ่งเขาเคยสัมภาษณ์ ไขแสง สุกใส อดีต ส.ส.ฝ่ายซ้ายชื่อดัง ซึ่งตำหนิรัฐบาลยุคนั้นว่าปล่อยให้น้ำท่วมภาคอีสาน จนโดนตั้งกรรมการสอบว่าฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์

บางวันก็มีคนส่งหรีดมาด่า หาว่าเป็นฝ่ายซ้าย บ้างก็ขุดบรรพบุรษมาโจมตีบอกว่า พระยามหาอำมาตยาธิบดี (เสง วิรยศิริ) พ่อของเขาเป็นถึงราชเลขานุการในพระองค์รัชกาลที่ 5 แต่ทำไมลูกเป็นคอมมิวนิสต์ พอตกบ่ายก็มีอีกพวกมาตั้งกลุ่มโจมตีหาว่าเป็นฝ่ายขวาตกขอบ สมุนทรราชย์

แต่เขาไม่เคยท้อ เพราะถือว่าทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ต้องรักษาความเป็นกลาง

หากเรื่องที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของสรรพสิริเกิดขึ้น ในวันที่ 5 ตุลาคม 2519

วันนั้นเขาอยู่อุ้มผาง รายงานข่าวการสู้รบระหว่างทหารไทยกับผู้ก่อการร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่าเหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่น่าไว้วางใจ เขาก็รีบตีรถกลับมายังสำนักงานทันที

การชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกิดขึ้นหลังจากจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับเข้าประเทศ สร้างความไม่พอใจแก่นิสิตนักศึกษา ประจวบกับช่วงนั้นกระแสข่าวลือว่อนไปทั่วว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังเข้าครอบงำนักศึกษา จึงเกิดกระแสขวาพิฆาตซ้ายลุกลามไปทั่วกรุง

เช้ามืดของวันที่ 6 สรรพสิริส่งรถถ่ายทอดไปเตรียมรายงานข่าวที่อนุสาวรีย์ทหารอาสา

เหตุการณ์วันนั้นช่างน่าสะเทือนใจ นักศึกษาหลายคนถูกยิงเสียชีวิต มีคนนำเชือกมาผูกคอลากศพไปตามพื้นถนน บางศพถูกจับนั่งยางเผาจนเหลือแต่ซาก สรรพสิริรายงานข่าวเรื่องนี้ผ่านวิทยุอย่างละเอียด ด้วยหวังว่าสิ่งที่นำเสนอออกไป อาจบรรเทาความรุนแรง หรือลดปริมาณการนองเลือดได้

“มันเหมือนผู้ใหญ่กำลังรังแกเด็ก กำลังเขกหัวเด็กอยู่ แต่ไม่ใช่กำปั้นเขก เขาเขกด้วยลูกปืน ผมทนไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าเพราะผมเป็นพวกเดียวกับเด็ก ไม่ใช่ผมมีเลือดเนื้อเชื้อไขธรรมศาสตร์ แต่เป็นเพราะผมคือสื่อมวลชน

“สำหรับผมข่าวต้องเป็นข่าว เมื่อมีการกระทำอะไรเกิดขึ้น สื่อมวลชนต้องมีหน้าที่บอกให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ แล้วให้เขาใช้วิจารณญาณเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ถูกหรือผิด นอกจากนั้นการกระทำแบบนี้มันแรงเกินไป ผมจึงต้องออกมาทักท้วง ต้องเสนอข่าวออกไป”

หลังจากนั้น เขาก็นำภาพข่าวที่บันทึกไว้กลับมาตัดต่อที่ช่อง 9 ทันที

สรรพสิริสังหรณ์ใจว่า คงเป็นข่าวสุดท้ายในชีวิตแล้ว จึงตัดสินใจทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่ตัดต่อ ลำดับภาพ รวมถึงอ่านข่าว เพราะไม่อยากให้ลูกน้องต้องหมดอนาคตไปพร้อมกัน

“เหตุการณ์มันรุนแรงมาก จะเอาออกทั้งหมด มันก็ไม่ดี ผมเลยขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว.. เพราะเรารู้ว่าอะไรควรไม่ควร รู้ว่าเราทำเพื่ออะไร คนบางคนอาจเข้าข้างฝ่ายขวา คนบางคนอาจเข้าข้างฝ่ายนักศึกษา แต่ผมถือว่า ผมเป็นกลาง ผมต้องทำเอง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีใครผิดใครถูก แต่ว่ามันเป็นการนองเลือดที่ไม่สมควรจะให้มี”

หลังข่าวเผยแพร่ก็เป็นตามที่คาด คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ซึ่งเข้ามายึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ออกคำสั่งให้เขากับลูกน้องอีก 4 คน พ้นสภาพการเป็นพนักงานบริษัทไทยโทรทัศน์ จำกัด ทันที และยังโดนอายัดทรัพย์ทั้งครอบครัว ต้องตกระกำลำบากนานนับสิบปี

แม้เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จะสร้างบาดแผลใหญ่ในชีวิต แต่สรรพสิริไม่เคยเสียใจเลยที่นำเสนอข่าวชิ้นนี้ เพราะอย่างน้อย เขาก็ได้ทำหน้าที่คนข่าวสมบูรณ์แล้ว

“นักสื่อสารมวลชนคือ คนที่ซื่อตรงต่อตนเองและซื่อตรงต่อคนอื่น ผมเล่นนาฬิกาเพราะนาฬิกาคือเครื่องเตือนใจให้คนมีความซื่อตรง.. ผมเป็นสื่อมวลชนจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงไม่เคยสนใจว่า เขาจะไล่ผมออกหรือให้เงินเดือนขึ้น เพราะผมมีหน้าที่ต้องไปทำข่าวนี้มา ผมภูมิใจที่ได้ทำข่าวนี้”

จิตวิญญาณแห่งคนข่าว

ตลอดครึ่งศตวรรษบนเส้นทางนักสื่อสาร สรรพสิริทำอะไรมากมาย ตั้งแต่รายการวิทยุ สารคดี และภาพยนตร์โฆษณา

แต่ไม่มีงานใดที่เขาหลงรักและทุ่มเทได้เท่ากับ ‘ข่าว’

สรรพสิริคือหัวหน้าฝ่ายข่าวทีวีคนแรกของประเทศไทย

เชื่อหรือไม่ วันแรกที่เปิดช่อง 4 บางขุนพรหม พอได้ยินเสียงไซเรนรถดับเพลิงผ่าน เขาก็รีบคว้ากล้อง ขับรถตามจนถึงเมืองนนท์ จนได้ข่าวสดใหม่เสิร์ฟขึ้นจอตั้งแต่เริ่มต้น

แม้แต่ข่าวเล็กข่าวใหญ่ ฝนตกน้ำท่วม เครื่องบินตก โกงเลือกตั้ง เขาก็ทำหมด เพราะยึดหลักที่ว่าประชาชนต้องรู้ สังคมต้องได้ประโยชน์ ไม่แปลกเลยว่าทำไมผู้มีอำนาจจึงถึงไม่ค่อยชอบเขานัก

ในที่สุดความทุ่มเทเกินพิกัด ก็ทำให้ถูกย้ายจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายข่าว ไปดูแลโรงรถของกรมประชาสัมพันธ์

“ผมทำงานอยู่ฝ่ายข่าวช่อง 4 ก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น สั่งให้เอาเครื่องมือไปถ่ายหนังจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กล่าวปราศรัย ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เสร็จ แต่ตอนจะเอามาออกข่าวทีวี มันไม่ง่าย แล้วกระแสไฟฟ้าก็มีปัญหามาก จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์มาบอกว่าท่านอธิบดีเรียกให้ไปที่บ้าน ท่านกำลังเลี้ยงแสดงความยินดีที่ทำข่าวสำคัญสำเร็จเรียบร้อย แต่ผมจะไปได้ยังไง ข่าวสำคัญที่ท่านว่ามันยังไม่เสร็จ ให้คนอื่นไปแทนแล้วกัน พอใกล้เที่ยงคืน ก็คำสั่งให้ปลดผมออกจากทีวีแล้วตั้งแต่บัดนี้

“พอรุ่งขึ้นตอนเช้าอธิบดีหายเมา ก็สั่งคนสนิทมาบอกผมว่า ‘ให้ไปกราบขอโทษท่านซะ’ ถ้าเขาใช้คำว่าไปพบกับท่านเพื่อปรับความเข้าใจ ผมอาจไป แต่พอได้ยินแบบนั้น ผมปฏิญาณกับตัวเองว่า หนึ่งผมจะไม่ยอมไปกราบมัน สองในชีวิตมันจะต้องชดใช้กรรมอันนี้ และสาม วันหนึ่งข้างหน้าผมจะพิสูจน์ให้ได้ว่าผมเป็นนักข่าวที่ยอดเยี่ยม”

หลังลาออกจากราชการ สรรพสิริเบนเข็มไปบุกเบิกงานโฆษณาจนร่ำรวย เพราะเขามักทำอะไรแปลกใหม่และฉีกกรอบเสมอ เช่นนำตัวการ์ตูนมาเดินเรื่องแทนคน จน ‘หนูหล่อ’ กับประโยค ‘เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน’ โด่งดังนานข้ามทศวรรษ

แต่ถึงจะไปไกลกับงานโฆษณา ในใจของสรรพสิริก็ยังมุ่งมั่นกับข่าวไม่เปลี่ยนแปลง

ในฐานะนักข่าวไร้สังกัด เขาเดินทางไปยังตะเข็บชายแดนทำข่าวการสู้ระบบของทหารไทยกับผู้ก่อร้ายอยู่เสมอ หลายข่าวถูกส่งต่อไปยังสำนักข่าวต่างประเทศ บางข่าวกลายเป็นรายการสารคดีของสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ

และเมื่อกองทัพอากาศทำโครงการ Airport TV ทีวีวงจรปิดฉายในสนามบินดอนเมือง สรรพสิริก็รับบริหารสถานีให้ ซึ่งแทนที่จะทำรายการเกี่ยวกับเครื่องบินแบบคนทั่วไป เขากลับไปทำสารคดีสงครามเวียดนามแทน แถมทุกชั่วโมงยังมีข่าวคั่นเวลาอีกต่างหาก

“ผมต้องการเป็นตาทิพย์แก่ประชาชน โดยเฉพาะผู้โดยสารต่างชาติ อย่างอเมริกัน ซึ่งลูกหลานเขาอาจจะไปรบอยู่ที่นั่น เพราะอเมริกาส่งทหารไปรบที่เวียดนามเป็นจำนวนมาก ผมจึงตัดสินใจไปทำข่าวที่นี่

“แต่พอกลับมาได้ไม่นาน ก็ต้องเลิกทำรายการ เพราะผมเป็นโรคข่าวขึ้นสมอง ทำข่าวมากจนหาโฆษณาได้แค่เดือนละไม่กี่พัน แต่ค่าใช้จ่ายตกเดือนเป็นแสน สุดท้ายก็ต้องเลิกกิจการไป”

ต่อมาพอไทยทีวีสีช่อง 3 เปิด เขาก็ถูกดึงไปเป็นหัวหน้าฝ่ายข่าวคนแรก ทำข่าวเจาะมากมายเต็มไปหมด ก่อนจะได้เชิญให้กลับไปอยู่ช่อง 9 หรือช่อง 4 เดิมอีกครั้ง ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ พร้อมปรับรูปแบบการทำข่าวของทีวีและวิทยุ จนเป็นที่ยอมรับของประชาชน ทั้งเรื่องคุณภาพ และความรวดเร็ว

“ผมยอมรับตำแหน่ง เพราะผมคิดว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของผมแล้วที่ผมจะได้ล้างอายให้กับชีวิต เพราะผมถูกสั่งปลดจากที่นี่ โดยไม่มีความผิดอะไร ดังนั้นผมต้องกลับมาพิสูจน์ตัวเอง”

น่าเสียดายที่สรรพสิริทำงานได้เพียงปีกว่าก็ถูกพิษ 6 ตุุลาคม 2519 เล่นงานจนโดนปลดรอบสอง

แต่นั่นก็คงพอแล้วสำหรับการพิสูจน์จิตวิญญาณของชายผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อข่าว

ฉากชีวิตของผู้กล้า

คงไม่ผิดหากบอกว่า ชีวิตของสรรพสิริไม่ต่างจากรถไฟเหาะที่ตีลังกาไปมา

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เขาถูกตั้งกรรมการสอบว่าเป็นคอมมิวนิสต์ โดนกล่าวหาว่าฉ้อโกงบริษัททั้งที่ไม่มีมูล และยังตกเป็นจำเลยคดีหนี้ต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ขายทรัพย์สินที่มีอยู่ประทังชีวิต

“สถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งเอาเรื่อง ให้รับผิดชอบหนี้สินของลูกน้องที่เคยเซ็นค้ำให้นานมากแล้ว แต่ผมไม่มีให้เพราะตอนถูกปลด ผมโดนอายัดบัญชีทุกธนาคาร เขาฟ้องศาลจึงสั่งให้ผมเป็นบุคคลล้มละลายทันที..

“พอรู้คำพิพากษา ผมก็ไปบวชอยู่ที่ระยอง อยากล้างซวยที่ถูกสังคมรังเกียจ ต่อมาก็ไปหลบทำไร่อยู่ที่โป่งน้ำร้อน จันทบุรี ติดชายแดนเขมร หลานเขยมีที่ดินอยู่ไม่อยากปล่อยไว้เฉยๆ เลยจ้างผมเดือนละพันกว่าบาทให้ไปดูแล”

สรรพสิริทำไร่อยู่ 7 ปีเต็ม หลานเขยก็หมดเงิน ขายไร่ทิ้ง เขาก็เลยซมซานกลับมากรุงเทพฯ

เขายอมรับชีวิตช่วงนั้นตีบตันไปหมด เคยคิดเอาปืนที่เหลืออยู่กระบอกเดียว ฆ่าตัวตายให้สิ้นเรื่อง

แต่ยังไม่ทันลงมือก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น จากคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ปลายสายแนะนำตัวว่าชื่อ ‘จุมพล รอดคำดี‘ เป็นอาจารย์อยู่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ อยากชักชวนให้มาสอนวิชาทำข่าวโทรทัศน์ให้นิสิต

“ผมประหลาดใจมาก เพราะอยู่ดีๆ เขาก็เชิญให้ผมเป็นอาจารย์ จากนั้นชมรมช่างภาพข่าวโทรทัศน์ก็มามอบโล่ให้จารึกว่าผมเป็นบุคลที่อุทิศตนแก่งานข่าวโทรทัศน์อย่างยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน เพราะเหตุนี้ผมจึงไม่มีสิทธิตาย เขายังเห็นความดีของผมอยู่ มันทำให้มีกำลังใจขึ้นมา เขาไล่ผมออกไปแต่คนกลับให้เกียรติผม

“ตอนหลังผมพบอาจารย์จุมพลในการสัมมนาว่าด้วยเรื่องวิทยุและโทรทัศน์ ผมถามเขาว่า ทำไมถึงได้นึกถึงผม อาจารย์จุมพลตอบสั้นๆ ‘ผมเสียดายครับ’ การได้เป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ เหมือนเป็นการชุบชีวิต ทำให้ผมได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากนั้นก็มีมหาวิทยาลัยอื่นๆ ติดต่อมาหาผมบ้าง ซึ่งผมก็ไปหมดทุกที่”

นักสื่อสารมวลชนคือ คนที่ซื่อตรงต่อตนเองและซื่อตรงต่อคนอื่น .. ผมเป็นสื่อมวลชนจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงไม่เคยสนใจว่า เขาจะไล่ผมออกหรือให้เงินเดือนขึ้น เพราะผมมีหน้าที่ต้องไปทำข่าวนี้มา ผมภูมิใจที่ได้ทำข่าวนี้

สรรพสิริ วิรยศิริ : นักข่าวทีวีคนแรก ผู้ฉายภาพ ‘6 ตุลาคม 2519’

ศักดิ์ศรีที่คืนกลับมา

ในบั้นปลายชีวิต สรรพสิริตัดสินใจหวนกลับมาสู่วงการสื่ออีกครั้ง เพื่อกู้ศักดิ์ศรีที่สูญหายไปคืนมา

“ถึงผมจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ผมจะไม่ยอมกลับไปดูถูกหรือจองเวรกับคนที่ทำกับผมเด็ดขาด ตรงกันข้ามเมื่อผมนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ผมกลับอยากจะขุดคุ้ยความดีงามของคนอื่น ที่เขาอาจประสบเคราะห์กรรมอย่างผม หรือถูกลืมเพื่อนำออกมาประกาศให้ทุกคนได้รู้”

สรรพสิรินำเสนอเรื่องราวของบุคคลมากมาย อาทิ รัชกาลที่ 5 ในฐานะผู้บุกเบิกรถไฟไทย, พระองค์เจ้าพีระฯ นักแข่งรถซึ่งเคยนำธงชาติไทยไปอวดสายตาชาวโลก หรือ โผน กิ่งเพชร แชมป์มวยโลกชาวไทยคนแรก รวมถึงคนเล็กคนน้อยที่น่าสนใจ ผ่านนิตยสารต่างๆ

ด้วยความเชื่อว่า การเรียนรู้เรื่องดีๆ ของคนอื่น จะทำให้ผู้อ่านมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น รู้จักความรัก รู้จักความเสียสละ และหยุดทำร้ายซึ่งกันและกัน

“ถ้าพูดถึงความสำเร็จกับผม ต้องไม่พูดถึงเรื่องเงินทอง เพราะไม่เคยประสบความสำเร็จเลยในชีวิต แต่ถ้าเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง ศักดิ์ศรีของคนที่เกิดมาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ผมถือว่าประสบความสำเร็จมาก ผมอาจจะได้ทำอะไรต่ออะไรคนแรกในวงการ อันนั้นไม่สำคัญ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างผมมีความบริสุทธิ์ใจที่จะทำให้สังคม

“ผมอยากเป็นคนที่มีประโยชน์กับคนอื่นๆ ไม่ใช่คิดว่าจะต้องเอาตัวรอดไปวันๆ ผมไม่เคยหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเป็นอะไรในชีวิต นอกจากอยากเป็นในสิ่งที่อยากเป็นสิ่งที่ชอบ และมีคุณค่ากับตัวเองและกับผู้อื่น”

และนี่คือเรื่องราวของสื่อมวลชนตัวจริงที่ชื่อ สรรพสิริ วิรยศิริ

ภาพและข้อมูลประกอบการเขียน

  • หนังสือผมเป็นคนข่าวคนหนึ่งก็แค่นั้น – สรรพสิริ วิรยศิริ
  • หนังสือผมชื่อสรรพสิริ วิรยศิริ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายสรรพสิริ วิรยศิริ
  • หนังสือตอบโจทย์ประเทศไทย – ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
  • วิทยานิพนธ์ แนวคิดและการทำงานของสรรพสิริ วิริยศิริ ในงานข่าวโทรทัศน์ไทย – วิโรจน์ ประกอบพิบูล คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • นิตยสารสยามรัฐ สัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 43 ฉบับที่ 6 วันที่ 7-13 กรกฎาคม 2539
  • นิตยสาร UpDATE ปีที่ 9 ฉบับที่ 108 เดือนมิถุนายน 2538
  • นิตยสารกรุงเทพ 30 ปีที่ 1 ฉบับที่ 10 สิงหาคม 2530
  • นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 140 เดือนตุลาคม 2539
  • นิตยสาร Marketing Review ปีที่ 3 ฉบับที่ 28 เดือนกันยายน 2532
  • นิตยสาร THE EARTH2000 ปีที่ 1 ฉบับที่ 4 เดือนตุลาคม 2536
  • วารสารกรมประชาสัมพันธ์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 10 เดือนพฤศจิกายน 2543

<< แชร์บทความนี้

RELATED POSTS
LATEST

Keep In Touch

COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO.  ALL RIGHTS RESERVED.