หนู คลองเตย ชื่อนี้มีแต่เสียงหัวเราะ
เพราะเมื่อใดที่เขาได้จับไมค์เล่นมุก รับประกันว่า ต้องฮาสุดขีด
ทั้งท่าเดินนกกระยาง หรือมุกอภินิหารหลวงปู่เค็ม เดินก้าวข้ามกองไฟ ล้วนแต่ยังคงเป็นที่จดจำข้ามกาลเวลา
บางคนยกให้เขาเป็นตลกอัจฉริยะที่นานๆ ครั้งจะมีสักคนหนึ่ง นี่คงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดหนูจึงเป็นตลกงานชุกที่สุดคนหนึ่งของยุค เปิดทีวีไปช่องไหนก็ต้องเห็นหน้าเขาอยู่เสมอ
แต่เส้นทางที่ดูเหมือนสวยงาม ชีวิตของหนูกลับผันผวนไม่แพ้เกลียวคลื่นที่บางครั้งก็ขึ้นสุดขีด แต่เวลาถึงคราวลงก็ดิ่งเหวจนแทบหาทางไปต่อไม่ได้
ดังเช่นที่ หม่ำ จ๊กม๊ก เคยเปรียบชีวิตของเพื่อนรักว่า ‘เหมือนฝันไป พอตื่นขึ้นมาก็เหมือนเดิม’
จากชีวิตที่มีครบทุกรสชาติ ทั้งหวานทั้งขม ทั้งดีและร้าย หลายคนจึงมักบอกว่าเรื่องราวของหนูนั้นเปรียบได้กับหนังสือเล่มโตที่น่าเรียนรู้และน่าค้นหา
ยอดมนุษย์..คนธรรมดา จึงอยากหยิบเรื่องราวการต่อสู้ของสุดยอดตลกมาถ่ายทอด แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเขาคนนี้ถึงไม่เคยจางหายไปจากใจและความทรงจำของผู้คนเลย
หนูเป็นคนขี้อายมาตั้งแต่เด็กๆ
ใครจะคิดว่า ความขี้อายนี้จะส่งผลให้ชีวิตของเขาพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ
แม้ชื่อของหนูจะผูกติดกับสลัมคลองเตย แต่ความจริงเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ตอนขึ้น ป.1 หลังพ่อแม่กระเตงลูกๆ จากอำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี มาหาชีวิตที่ดีกว่าในเมืองกรุง
ด้วยความยากจน ส่งผลให้หนูต้องปากกัดตีนถีบ ทำงานสารพัดอย่าง หนึ่งในนั้นคือ การเก็บน้ำมันหมู ล้างไส้หมูที่โรงงานฆ่าสัตว์ แต่ก็ทำได้สักพักก็มีเรื่องกับเจ้าของโรงงานจนต้องหนีกลับบ้าน
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งแม่อยากหารายได้เสริมมาจุนเจือครอบครัว ก็เลยรวบรวมเงินเก็บมาทำข้าวต้มมัดแล้วให้ลูกชายตัวดีไปเดินขาย
แต่ด้วยความอายเพื่อน อายสาว อายคนรอบข้าง ไม่อยากทำการค้า หนูเลยนำเงินที่รวบรวมได้จากการเก็บตะปูขายมาส่งให้แม่ ส่วนขนมก็แจกจ่ายให้เพื่อนๆ กินจนหมด
พอแม่เห็นว่าขายดี คราวนี้ก็เลยทำเยอะขึ้น หนูซึ่งไม่มีเงินเหลือแล้ว ไม่รู้จะทำยังไง จึงคิดแบบเด็กๆ คือหนีออกจากบ้าน ตอนอายุได้เพียง 11-12 ขวบ โดยเช้ามืดถึง 2 ทุ่มก็ไปเป็นกระเป๋ารถสองแถวสายคลองเตย-โรงหมู จากนั้นก็รับจ็อบขัดรองเท้าต่อที่หน้ารถมิดไนต์ไก่ตอน แถวประตูน้ำ พอตกดึกก็ไปนอนที่รถสองแถว ทั้งตัวมีเสื้อกางเกงชุดเดียว แทบไม่เคยได้อาบน้ำ
ชีวิตที่พเนจรอยู่กับกลุ่มเพื่อน พอเห็นเพื่อนทำอะไร เขาก็อยากทำตามบ้าง
หนูได้สัมผัสกับยาเสพติดเป็นครั้งแรก โดยเริ่มจากการดมทินเนอร์ เสพจนหลอน จนเคลิ้ม นึกว่าเป็นอะไรก็ได้เป็น พอหนักขึ้นก็เริ่มลองผงขาวยัดใส่บุหรี่ พอเสพหนักๆ ไม่มีเงินซื้อ ก็ไปเข้ากลุ่มลักขโมย กระตุกสร้อย ล้วงกระเป๋า กระทั่งวันหนึ่งถูกจับได้ โดนส่งตัวเข้าบ้านบางนาอยู่ปีครึ่ง ชีวิตที่นั่นเองที่ทำให้หนูได้เรียนหนังสือ และพออ่านออกเขียนได้
แต่ทางเดินของคนเราไม่ได้มีมากนัก เมื่อหวนกลับคืนสู่มหานครคลองเตย มาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง ชีวิตของหนูก็ยังเหมือนเดิม คบเพื่อนแก๊งเดิม และกลับมาติดทินเนอร์เหมือนเคย
ครั้งหนึ่งหนูเคยเล่าผ่านรายการ 4 ทุ่มสแควร์ว่า เขาติดกาวอยู่ 3 ปีเต็ม หลับแล้วตื่นขึ้นมาก็ยังต้องถือผ้าชุบทินเนอร์ไว้ดมตลอดเวลา จนมือลอก แม้พ่อแม่จะดุว่าอย่างไร ก็ไม่ยอมเลิกเสียที
กระทั่งจุดเปลี่ยนของชีวิตมาถึง เมื่อมีคณะลิเกชื่อ ‘บัวแก้วนพเก้า’ มาเปิดวิกที่คลองเตย หนูก็ไปอาศัยนั่งหลับอยู่แถวนั้น พอดีวันหนึ่งฝนตก ชาวคณะเลยพากันจับอึ่งอ่างมากิน หนูก็ช่วยเขาด้วย จนครูสำอางค์ เจ้าของคณะประทับใจ จึงชวนให้มาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ โดยตอนแรกไม่ทราบว่าหนูติดยา แต่เมื่อทราบแล้วเห็นว่า หนูไม่ได้มีพฤติกรรมก้าวร้าว ขโมยของหรือสร้างปัญหา จึงปล่อยให้ทำงานเรื่อยมา พร้อมกับพาไปเดินสายตามจังหวัดต่างๆ ด้วย
ผ่านไปได้ 1 ปี หนูก็ได้รับโอกาสครั้งสำคัญให้ขึ้นเวทีแสดง เป็นตัวเล็กๆ ไม่มีบทพูด แค่อุ้มเด็กออกมากับเมียแล้วโดนฟันคอตายเลย ความจริงหนูไม่อยากแสดง เพราะอาย แต่เจ้าของคณะยื่นคำขาดว่า ถ้าแค่ช่วยกันแค่ไม่ได้ ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เขาเลยต้องยอม
“พอแต่งตัวเสร็จก็ออกมาหน้าเวทีเลย พวกแม่ยกที่เคยมาเล่นที่หลังโรง เคยใช้เราไปซื้อของ เขาเห็นก็จำเราได้ พากันหัวเราะ ไม่รู้หัวเราะเพราะสงสารหรือสมเพช แต่เขาก็ให้รางวัลเราคนละร้อย 2 คน ถือเป็น 200 บาทแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้”
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้หนูเริ่มมีความฝันเป็นครั้งแรก อยากเล่นลิเกเป็น เผื่อจะได้มีเงินไว้จับจ่ายใช้สอย ส่งเลี้ยงครอบครัว เขาก็เลยไปขอร้องเจ้าของคณะ แต่ทุกคนพากันหัวเราะ เพราะสภาพเวลานั้น หนูคือเด็กติดกาว ตัวผอมกะหร่อง แม้แต่ตัวโกงประจำคณะยังบอกว่า ‘เอ็งดมทินเนอร์อย่างนี้ ต้องหัดจนสากกะเบือออกดอกนั่นแหละถึงจะเป็น’ วันนั้นเขาจึงตัดสินใจ ปาขวดทินเนอร์ทิ้ง ขอเลิกดมเด็ดขาด
“ผมดมทินเนอร์จนเลือดไหลออกจมูก แฉะไปทั้งหน้า เท่าที่ผมสังเกต ดมทินเนอร์นี่ตายเร็วกว่าติด เฮโรอีนแน่นอน รอดยาก เพื่อนผมมี 7 คน ตายเรียบ เหลือผมรอดอยู่คนเดียว มีคนหนึ่งพี่สาวมารับตัวให้ไปอยู่อเมริกา มันถอดสูทหนีที่ดอนเมือง แล้วจากนั้นไม่นานก็ตาย”
แต่แน่นอน การหักดิบเลิกยาไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างตอนลิเกไปเปิดวิกที่จันทบุรี หนูถึงขั้นต้องกระโดดลงบ่อน้ำเย็น แช่อยู่ร่วมชั่วโมง จนหายเสี้ยน แล้วค่อยๆ คลานกลับมาใต้ถุนโรงลิเก
“คนเราบางทีต้องต่อสู้กับความคิด ต้องทนต้องสู้ ถ้าเราไม่อยากตายคาเข็ม อยากมีอนาคตก็ต้องสู้กับมัน เราทำแบบนี้อยู่ 2-3 สัปดาห์ก็เริ่มดีขึ้น ช่วงอาทิตย์แรกหนักหนาและทรมานที่สุด เหมือนกระดูกร้าวไปหมดทุกชิ้น จนผ่านไปสักเดือนก็เริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าผ่าน”
ความทุ่มเทและความมุ่งมั่นของหนู อยู่ในสายตาของพ่อสำอางค์ตลอด จึงตัดสินใจรับหนูเป็นลูกศิษย์ฝึกลิเกให้ ด้วยการให้รับบทเล็กๆ อย่างเป็นลูกน้องตัวโกงก่อน จากนั้นก็ให้ขยับมารับบทสำคัญขึ้น โดยมีข้อแม้ว่า ต้องมีชุดลิเกของตัวเอง หนูจึงตัดสินใจกลับบ้านในรอบหลายปี แม่เห็นลูกชายเลิกยาได้ ก็ดีใจมาก ถึงขั้นให้พ่อไปยืมเงินคนรู้จักเพื่อนำไปตัดชุดแรกให้
“เล่นลิเกให้ดังต้องมีเครื่องทรงสวยๆ ผมจึงไปขอเงินพ่อแม่มาซื้อเครื่อง 8,000 บาท พ่อแม่บอกว่าอย่าว่าแต่เงินพันเลย เงินร้อยยังไม่เคยได้จับ คงกลัวผมเอาไปถลุงดมทินเนอร์ ผมก็บอกว่าผมอดได้แล้ว พ่อแม่ถึงได้บากหน้าไปขอกู้เขามาให้ผม ขณะรับเงินมาผมถึงกับน้ำตาตก คิดเดี๋ยวนั้นว่าที่พ่อแม่เฆี่ยนตอนเด็กๆ ไม่ใช่จงเกลียดจงชัง แต่เฆี่ยนตีเพราะรักเรา ต้องการให้เราเป็นคนดี”
จากเด็กสลัมไร้อนาคต เขาจึงพลิกชีวิตมาสู่การเป็นพระเอกลิเกเต็มตัว
หนูเล่นลิเกมานานนับสิบปี หมุนเวียนอยู่หลายคณะ บางครั้งเคยเป็นหัวหน้าคณะเองด้วยซ้ำ โดยไม่เคยคิดเบนเข็มไปสู่เส้นทางสายอื่น
แต่เพราะชีวิตดันไปพัวพันกับอบายมุขอยู่ตลอด ส่งผลให้ชีวิตของหนูต้องผันแปรอยู่เสมอ โดยหลังเรื่องยาจบไป ก็มีเรื่องการพนันเข้ามาแทน
เรื่องของเรื่องเกิดจากกิจกรรมยามว่างหลังโรงลิเก พอไม่ได้มีฉากให้ขึ้น ชาวคณะก็จะล้อมวงนั่งเขย่าไฮโล ตอนแรกหนูไม่ได้สนใจอยากเล่น แต่พอดีอยากได้เศษเงินไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างโรงลิเก ก็เลยร่วมวงด้วย พอเล่นไปเล่นมาเริ่มสนุก เลยยิ่งเพลิน ช่วงเล่นได้ก็ดีไป แต่พอเล่นเสียก็เป็นธรรมดาที่อยากได้คืน
ช่วงหลังเริ่มติดหนัก ถึงขั้นแกะเพชรจากชุดไปจำนำ แต่กลับไม่ทุนคืนสักที จนสุดท้ายหมดตัว ชุดเล่นลิเกก็ไม่เหลือ ความที่เขายึดหลัก The show must go on ถอยหลังไม่ได้ หนูก็เลยเดินเข้าครัว เจอแม่ครัวสวมชุดเสื้อคอกระเช้ากับผ้าถุง ก็เลยเอ่ยปากขอยืม แล้วก็ขึ้นเวทีไปเล่นเป็นตัวโจ๊กซะอย่างนั้น
“ในเรื่องไม่มีตัวโจ๊ก แต่ด้วยชุดทำให้เราต้องเล่นเป็นตัวตลก หัวหน้าคณะก็รู้ว่าหนูเล่นไฮโลเสีย เพราะเขาเล่นด้วย คนก็พากันขำใหญ่ นั่นเป็นครั้งแรกที่หนูเล่นเป็นตัวโจ๊ก แล้วในคณะมีตัวโจ๊กประจำอยู่ 2 คน แต่เล่นสู้หนูไม่ได้ คือเราเล่นออกมาสดๆ ไม่ได้เตรียมตัวหรือซ้อมมาก่อนเลย ใส่กันไปตามน้ำ”
หลังจากได้เห็นฝีมือ หัวหน้าก็ขอให้หนูมาเล่นเป็นตัวโจ๊กหลัก โดยใช้ชื่อว่า ‘ดอกโศก’ ว่ากันว่าชื่อเสียงของตัวโจ๊กน้องใหม่โด่งดังสุดๆ ถึงขั้นที่ว่าเรียกพวงมาลัยจากแม่ยกได้มากกว่าพระเอกเสียอีก
หนูเคยเล่าเคล็ดลับความสำเร็จว่า มาจากการครูพักลักจำ คนไหนเล่นดี เขาก็จะจำไว้ บางทีก็ไปขอจดกลอนจากรุ่นพี่ๆ สัก 1-2 บท แล้วก็มาต่อยอด ฝึกแต่ง ฝึกสัมผัสเอง จนชำนาญ สามารถด้นสดได้อัตโนมัติ และสิ่งนี้เองที่กลายเป็นพื้นฐานหลักเมื่อเขากลายมาเป็นนักแสดงตลกชื่อดัง
บุคคลสำคัญที่เห็นแววของหนู และชักนำเขาสู่เส้นทางใหม่คือ แดง เดือนเพ็ญ
วันนั้น แดงมาจัดงานประกวดร้องเพลงอยู่ที่ตลาดสำโรง แต่ระหว่างที่รองานเริ่มจึงถือโอกาสแวะชมลิเกก่อน ทำให้ได้พบกับหนูโดยบังเอิญ และเห็นว่าเด็กคนนี้น่าสนใจ มีปฏิภาณไหวพริบดี พอลิเกเลิกก็เลยเดินเข้าไปคุยด้วย พร้อมถามว่า “อยากเล่นตลกคาเฟ่ไหม?”
แน่นอน ด้วยความเป็นคนขี้อาย หนูรีบปฏิเสธทันที แต่แดงไม่ละความพยายาม ตื๊อหนักจนหนูใจอ่อน ยอมไปเล่นให้ครั้งหนึ่ง โดยแสดงเป็นซูเปอร์แมน แต่เล่นแล้วไม่ค่อยเวิร์ก เพราะผู้ชมส่วนใหญ่เป็นคนเมา เล่นไปแล้วไม่ขำตาม อารมณ์ร่วมไม่ค่อยมี
“ตอนนั้นเราเอาเก้าอี้ไปตั้งแล้วขึ้นไปเหาะ แต่คนดูเขาเมากันแล้ว คนก็ไม่ค่อยมี เล่นทั้งๆ ที่เกร็ง ก่อนขึ้นเวทีเราว่าเราเก๋าอยู่แล้วในโรงลิเก แต่คาเฟ่มันคนละทางเลย เพราะโรงลิเก เขาตั้งใจมาดูเรา แต่คาเฟ่ไม่ใช่ เลยบอกพี่แดงว่าไม่เอาแล้ว แต่เขายังมาชวนอีก เราก็ไปช่วยเขาอีกครั้งที่ลานสเก็ต คราวนี้ดีขึ้นหน่อย ได้แต่งชุดธรรมดา คนดูเริ่มชอบ แต่เรายังไม่ชอบอยู่ดี อยากเล่นลิเกมากกว่า”
ผ่านไปได้ 2-3 ปี หนูกับแดงไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย จนวันหนึ่งหนู ซึ่งเปลี่ยนชื่อจาก ‘ดอกโศก’ เป็น ‘ลูกกอล์ฟ’ มาเปิดการแสดงอยู่ที่ตลาดสิงคโปร์-คลองเตย แดงซึ่งเพิ่งตั้งคณะอิสระเดือนเพ็ญ ก็มาเปิดการแสดงอยู่ใกล้ๆ เช่นกัน พอดีวันนั้นมีนักร้องในวงที่มาดูหนูแสดงกลับมาเล่าให้แดงฟังว่า ตลกลิเกคณะนี้เล่นดีมากๆ คนติดกันเต็ม
แม้ยังไม่ชัดเจนว่า ลูกกอล์ฟกับดอกโศกเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า แต่ตามสัญชาตญาณ แดงมั่นใจว่าต้องใช่แน่ๆ จึงเขียนจดหมายฝากนักร้องมาให้ ด้วยความคิดถึงหนูจึงรีบไปหา พอถึงปั๊บ แดงก็ประกาศบนเวทีทันทีว่า นี่แหละคือ ‘หนู เดือนเพ็ญ’ สมาชิกใหม่ของคณะอิสระเดือนเพ็ญ
เมื่อตกกะไดพลอยโจนแล้ว หนูก็เลยตัดสินใจเบนเข็มมาเล่นตลกคาเฟ่เต็มตัว
จากคณะอิสระเดือนเพ็ญ หนูก็เขยิบไปเล่นตลกอีกหลายคณะ เช่น ซูเปอร์โจ๊ก ของจุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก กระทั่งมีเงินซื้อบ้านหลังเก่าๆ ได้สำเร็จ และพาพ่อแม่พี่น้องมาอยู่ด้วยกัน แต่สุดท้ายผีพนันก็ตามหลอกหลอน ต้องขายบ้านใช้หนี้ แถมไม่มีงานทำอยู่ 2 ปี จนตอนหลังได้มาเจอกับ ขมิ้น เชิญยิ้ม เพื่อนร่วมคณะอิสระเดือนเพ็ญ ซึ่งกำลังไปช่วย เป็ด เชิญยิ้ม ตั้งคณะใหม่อยู่พอดี ขมิ้นก็เลยพาหนูไปฝากตัวกับเป็ด
แต่บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็ดอยากได้ตลกที่หน้าตาดี ดูสะอาด ซึ่งสวนทางกับสภาพของหนูในเวลานั้นแบบสุดขั้ว
พอดีวันนั้นเป็ดต้องไปแสดง 6 แห่ง แต่ 3 แห่งแรกเขาไม่ยอมให้หนูขึ้นเวทีสักที จนถึงแห่งที่ 4 ซามูไรคาเฟ่ ตรงแฮปปี้แลนด์ ขมิ้นก็เลยขอร้องอีกครั้ง เป็ดจึงใจอ่อนยอมให้หนูขึ้นแสดง และหนูก็ไม่ทำให้เพื่อนรักผิดหวัง สาดมุกกระจาย อำคนนั้นคนนี้ จนแขกที่มีอยู่ 3-4 โต๊ะ หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง แม้แต่เป็ดก็ยังขำจนน้ำหูน้ำตาไหล
จากนั้นเป็ดก็พาหนูไปแสดงต่อที่ วิลลาคาเฟ่ พระราม 9 ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมตลกทั่วฟ้าเมืองไทยในเวลานั้น และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘หนู เชิญยิ้ม’ ตลกอัจฉริยะที่ทุกคนรู้จักถึงปัจจุบัน
เมื่อหนูก้าวมาอยู่กับเป็ด เชิญยิ้ม กราฟชีวิตของเขาก็อยู่ในช่วงขาขึ้นสุดขีด
เบื้องหลังความฮอตของหนู มาจากหลายปัจจัย ทั้งบุคลิกภาพที่ดี การแต่งตัวที่ทันสมัย มีคาแรกเตอร์ชัดเจนที่ผู้คนจำได้ โดยเฉพาะท่าเดินนกกระยาง ซึ่งเคยเป็นที่กล่าวขานของผู้ชมชาวไทย
แต่ที่เหนือกว่าสิ่งอื่นคือ สมอง เพราะถึงไม่เคยเรียนหนังสือจริงๆ จังๆ อ่านออกเขียนได้นิดหน่อย แต่ด้วยไหวพริบที่รวดเร็ว ฉับไว จึงสามารถดึงสิ่งรอบข้างทุกอย่างมาเป็นมุกตลกได้หมด อย่างเช่นตอนที่เล่าถึงประสบการณ์การขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ตั้งแต่คาดเข็มขัดนิรภัย ไปจนถึงเข้าห้องน้ำแล้วแต่ไม่รู้วิธีกดชักโครก
บางครั้งต่อให้ทั้งเวทีมีเขาแค่คนเดียว แต่หนูก็กุมเวทีได้อยู่หมัด ยิงมุกต่อเนื่องได้เป็นชั่วโมง จนหลายคนบอกว่า หากเขาเลือกเอาดีทางเดี่ยวไมโครโฟน รับรองว่าโด่งดังไม่แพ้คนอื่นอย่างแน่นอน
“เขาเป็นตลกไว ปากไว หัวไว ตาไว จมูกไว หูไว หูเขาจะฟัง ตาเขาจะเล่น ปากเขาจะพูด จมูกเขาจะดม เป็นตลกที่ก็อปปี้ยาก เพราะหนูเป็นคนเล่นสด อำหนักแต่ฮา” ขมิ้นเคยวิเคราะห์เพื่อนรักคนนี้
“พี่หนูเป็นตลกอัจฉริยะ เป็นตลกที่คิดเร็ว เล่นได้หลากหลาย ปูได้ ดิ้นได้ เล่นได้ทุกคน เล่นเป็นผู้หญิงก็ได้ รวมทุกบทบาท ผมไม่ใช้คำว่านักแสดงกับเขา แต่ใช้คำว่าศิลปิน” นุ้ย เชิญยิ้ม ลูกน้องคนสนิทอีกคน ยกย่องให้หนูคือ Top 5 ตลอดกาลของตลกเมืองไทย
อีกเรื่องหนึ่งที่สนใจคือ ความจริงใจและตรงไปตรงมา
หนูถือเป็นคนบันเทิงคนแรกๆ ที่กล้าเล่าความผิดพลาดของตัวเองอย่างหมดเปลือก โดยเฉพาะประสบการณ์เรื่องยาเสพติด ด้วยหวังให้เป็นบทเรียนแก่ผู้ที่กำลังหลงผิด หนูจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายคน ทั้งเด็กติดยา เด็กหนีออกจากบ้าน หรือแม้แต่เยาวชนคลองเตยที่ผู้คนในยุคนั้นต่างมองว่าเป็นเด็กมีปัญหา เป็นภาระของสังคม ให้กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ความสำเร็จจากพรสวรรค์ที่ล้นเหลือได้นำพาชื่อเสียง เงินทอง มาสู่ตลกดาวรุ่งผู้นี้อย่างต่อเนื่อง
หนูมีเงินซื้อทั้งบ้าน ทั้งรถ หรือแม้แต่กางเกงยีนส์ที่เขาเคยใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากได้ ได้เดินทางไปต่างประเทศ ทั้ง สวีเดน เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อิตาลี และเกาหลีใต้
มากกว่านั้นยังเป็นสะพานมาสู่การเป็นคนหน้าจอเต็มตัว มีโอกาสแสดงละครและภาพยนตร์ดังๆ นับไม่ถ้วน ทั้งผู้กองยอดรัก รับบทเป็นเพื่อนพระเอก ประกบนักแสดงดังแห่งยุค โอ-วรุฒ วรธรรม หรือเงิน เงิน เงิน ละครเพลงฟอร์มยักษ์ของช่อง 7 สี ซึ่งหนูได้เป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งอารามบอย ร่วมกับเสนาหอย-เกียรติศักดิ์ อุดมนาค และโบ๊ท วิบูลย์นันท์ รวมถึงบทคุณนายสะอาด เจ้าของบ้านเช่าหน้าเลือดประจำซอยเถิดเทิง ในซิตคอมระดับตำนาน ‘ระเบิดเถิดเทิง’
แต่ภาพที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุด คือการเป็นพิธีกรสารพัดรายการเกมโชว์ ตั้งแต่กรุสมบัติ โอนลี่วันเกม กามเทพผิดคิว โดยรับช่วงต่อจากซูโม่กิ๊กที่ขอลาออกไปทำบริษัทของตัวเอง รวมถึงชิงร้อยชิงล้าน ซึ่งหนูถือเป็นสมาชิกรุ่นบุกเบิกของแก๊งสามช่า ก่อนจะกลายเป็น หม่ำ-เท่ง-โหน่ง อย่างทุกวันนี้
หากแต่ยุครุ่งเรืองของหนู กลับผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงปี 2541 ชีวิตของหนูก็มาถึงจุดหักเห ด้วยความใจใหญ่ รักพวกพ้อง ใครขอความช่วยเหลืออะไรก็พร้อมช่วยเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง บางครั้งถึงขั้นไปหยิบยืมเงินคนอื่นมาให้เลยก็มี
หนูกลายเป็นคนมีหนี้สินเต็มมือ วิธีเดียวที่เขาคิดออกก็คือ เล่นพนันใช้หนี้ เริ่มจากป๊อกเด้ง บาคาร่า จนถึงพนันบอล แต่ยิ่งเล่นก็ยิ่งเสีย แถมช่วงนั้นยังเผชิญมรสุมใหญ่คือ แม่ ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้เสียชีวิตลง ส่งผลให้หนูซวนเซหนัก หมดกำลังใจในการใช้ชีวิต ไม่รู้จะไปพึ่งพิงใคร งานการที่เคยรับไว้ก็เลยไม่ได้ไปทำ และหันกลับไปพึ่งพิงยาเสพติด
หนูตัดสินใจพักใจนานหลายเดือน ก่อนหวนกลับมาต่อสู้อีกครั้ง โดยตั้งคณะตลกใหม่พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น ‘หนู คลองเตย’ ซึ่งนามสกุลนี้ ล้อต็อก บรมครูตลกเป็นคนตั้งให้
แต่ดูเหมือนผู้คนจะยังไม่ลืมเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น หนูยังต้องเผชิญกับข่าวคราวสารพัด หลายคนบอกว่า หนูบ้า หนูเพี้ยน เสพยาจนหลอน มีนักข่าวไปตามถ่ายภาพเขานอนอยู่ที่กองขยะแถวคลองเตย จนสุดท้ายหนูก็ตัดสินใจหันหลังให้วงการบันเทิงนานถึง 3 ปี
ไชยา เชิญยิ้ม รุ่นน้องคนสนิทของหนู เคยเล่าว่า เวลานั้นชีวิตของหนูไม่ต่างจากการลงโทษตัวเอง
“เขาเหมือนประชดตัวเอง เขาไม่อยากทำงาน ผมเคยถามเขาว่า เราจะอยู่กันแบบนี้อีกนานไหม เขาหันมาบอกผมว่า กูไม่อยู่แบบนี้หรอก กูเป็นตลก กูเป็นศิลปิน เดี๋ยวถึงเวลาก็กลับไปเองแหละ แล้วหลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับเข้าวงการจริงๆ”
การกลับมาครั้งนี้ หนูเหมือนเป็นคนใหม่ เขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อครอบครัว แต่เป็นเพื่อสังคม และเด็กๆ ที่ตกอยู่ในวังวนเดียวกับเขา
สิ่งเลวร้ายที่ผ่านมาทั้งหมด ต้องกลับมาเป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับคนอื่น เพราะทุกแง่ทุกมุมที่เรามีอยู่ มันมีทั้งดีและไม่ดี หนูอยากคืนประสบการณ์ทั้งหมดให้กับสังคมด้วยตัวหนูเอง
แม้อาจไม่โด่งดังเหมือนเก่า แต่การกลับมาของหนูก็ได้เสียงตอบรับที่ดีจากผู้ชม
ถึงความคิด คำพูดคำจาอาจไม่รวดเร็วเหมือนก่อน มีจังหวะหยุดคิดนานขึ้น แต่มุกตลกของหนูก็ยังแพรวพราว คมกริบไม่เปลี่ยนแปลง
หนูกลับมารับงานพิธีกร เล่นละครเรื่อง น.ส.สัปเหร่อ แสดงภาพยนตร์เรื่องคนปีมะของโน้ต เชิญยิ้ม รับบทสั้นๆ ในบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม ให้ผู้กำกับหม่ำ รวมถึงตั้งคณะตลกใหม่ชื่อว่า ‘หนู สลัมบอย’
เขาประกาศกับสังคมว่า ตอนนี้เลิกพนัน เลิกยาเสพติดเด็ดขาด
ช่วงที่หายไป เขาไปรักษาตัวอยู่ที่ศูนย์บำบัดวัดบ่อเงิน นาน 3-4 เดือน โดยนอกจากเลิกยาแล้ว หนูยังช่วยดูแลและให้กำลังใจให้น้องๆ ที่ติดยาด้วย
เขาบอกกับทุกคนเสมอว่า หากหนูเลิกได้ คนอื่นก็ต้องเลิกได้เหมือนกัน
“หนูเล่นตลกให้เด็กดู เขาจะหัวเราะและครื้นเครงมาก พอเราอบรมว่าความเป็นจริงคืออะไร เขาก็จะร้องไห้ ทำให้เกิดจินตนาการว่า ถ้าเราเลิกขาดก็จะช่วยพวกเขาได้ ดังนั้นเราต้องใจแข็ง ต้องเอาชนะตัวเอง เพราะอยากให้เด็กทุกคนรับรู้ว่า ชีวิตเราเป็นอย่างนี้ เรามาจากสลัม เคยเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ต้องกลับมายุ่งกับมันอีก เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ ประชดชีวิตแบบผิดๆ แต่เรายังโชคดีที่มีคนให้โอกาส ซึ่งความโชคดีนี้จะมีสักกี่คนที่ได้รับ คือพระเจ้าท่านอาจเห็นว่าเราไม่ได้เป็นโดยสันดาน เพราะที่ผ่านมาก็เป็นคนที่ต่อสู้เรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต”
เมื่อกลับสู่โลกมายา หนูจึงใฝ่ฝันอยากทำศูนย์บำบัดของตัวเอง เป็นโรงทานที่พร้อมเปิดรับทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน จะเป็นเด็กติดยา เด็กยากจน เด็กไร้บ้าน ไม่มีที่พึ่งพิง ก็มาอยู่ได้หมด เขาอยากให้ทุกคนได้เห็นว่า ‘โลกนี้ยังสดใสและสวยงาม’
“หนูอยากทำโรงทาน เพราะเราผ่านมาแล้วทุกอย่าง และวันนี้สิ่งที่เรายังคงมีอยู่ ขณะที่คนอื่นอีกหลายคนไม่มีคือ ชื่อเสียงและประสบการณ์ หนูมองว่าสิ่งเลวร้ายที่ผ่านมาทั้งหมด ต้องกลับมาเป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับคนอื่น เพราะทุกแง่ทุกมุมที่เรามีอยู่ มันมีทั้งดีและไม่ดี หนูอยากคืนประสบการณ์ทั้งหมดให้กับสังคมด้วยตัวหนูเอง”
หากเวลาของหนูกลับเหลือน้อยนิด เพราะไม่นานนัก หนูก็ต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บสารพัด ตั้งแต่โรคปอด จากนั้นก็มีอาการเกี่ยวกับลำไส้ กินอาหารไม่ค่อยได้ ไม่มีเรี่ยวแรง ต่อมาเป็นวัณโรค ท้องร่วงอย่างหนัก อาการทรุดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นลมหายใจไปในช่วงบ่ายของวันที่ 29 มกราคม 2548
ก่อนจากไป เขาบอกกับคนใกล้ชิดว่า ‘ชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรให้ห่วงอีกแล้ว’
คงเพราะตลอดเส้นทางกว่า 40 ปี เขาได้ใช้ชีวิตของตัวเองเกินคุ้มแล้ว แม้อาจจะเหมือนฝันไป แต่ก็เป็นฝันที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย
ที่สำคัญสุดคือ ไม่ว่าจะเปิดหน้าไหนของชีวิต เรื่องราวของเขาก็จะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้ทุกคนได้เรียนรู้และเข้าใจว่า ชีวิตนี้จะดีหรือเลว เราทุกคนล้วนแต่เป็นผู้เลือกเอง
พระเอกยอดนักบู๊ ผู้ตามหาฝันจากเด็กเลี้ยงช้าง สู่นักแสดงระดับโลก
บรมครูของวงการตลก ผู้เป็นต้นแบบของนักแสดงขายขำ ผู้เต็มไปด้วยมุกแพรวพราว
ศิลปินล้านนา จรัล มโนเพ็ชร ชายผู้ทำให้ภาษาคำเมืองกลายเป็นภาษาที่ทั่วประเทศคุ้นเคย และสร้างบทเพลงที่อมตะ
นักแสดงยอดฝีมือ เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทองมากมาย เจ้าของสมญาพระเอกตลอดกาล
คุณยายผู้เป็นสัญลักษณ์ของละครเมืองไทย ที่มีผลงานต่อเนื่องมากว่า 40 ปี ทั้ง คู่กรรม สายโลหิต บุพเพสันนิวาส
ผู้พลิกชีวิตจากเด็กสลัมคลองเตย สู่ตลกอัจฉริยะของเมืองไทย ที่สร้างมุกสุดคลาสสิกและอยู่ในใจของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน
ผู้พลิกชีวิตจากเด็กสลัมคลองเตย สู่ตลกอัจฉริยะของเมืองไทย ที่สร้างมุกสุดคลาสสิกและอยู่ในใจของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน
โลกดนตรี ตำนานรายการคอนเสิร์ตกลางแจ้ง ที่ศิลปินยุค 1970-2000 อยากขึ้นแสดงมากที่สุด เพราะใครที่มีโอกาสได้ขึ้นเวทีนี้ แสดงว่าดังแล้ว
ห้องทดลองกฎหมายของ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร ที่ทำงานเรื่องการพิสูจน์สิทธิเรื่องสัญชาติ เพื่อให้ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
เครือข่ายคนรุ่นใหม่ที่อยากรักษาเสน่ห์ของพื้นที่อารีย์ พร้อมกับรักษาชุมชนที่ยั่งยืนด้วยการใช้กุศโลบายที่ดึงดูดให้คนทุกมีส่วนร่วม
นักออกแบบแดนปัตตานีที่รวมกลุ่มกันจัดกิจกรรม เพื่อเปลี่ยนภาพจำๆ เดิมของชายแดนใต้ ไปสู่กลายเป็นเมืองสร้างสรรค์
จากครูอาสาที่มาสอนดนตรีในชุมชนคลองเตย สู่การต่อยอด เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กๆ ได้มีพื้นที่ที่จะเติบโตอย่างงดงาม
COPYRIGHT © 2021 WWW.THENORMALHERO.CO. ALL RIGHTS RESERVED.